ก้าวสู่ตลาดทุนแห่งอนาคตสําหรับทุกคน

การเดินทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตลอด 50 ปีของการเดินทาง ได้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนด้วยการสร้างนวัตกรรมด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานให้เป็น Exchange Platform ที่มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพสําหรับนักลงทุน บริษัทจดทะเบียน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุน ก้าวต่อไปของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมีโจทย์และความท้าทายมากมายรออยู่เช่นกัน

Loh Boon Chye ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในตลาดการเงินซึ่งจะมี ทั้ง ‘โอกาส’ และ ‘ความท้าทาย’ รออยู่

ในแง่การเป็น Exchange การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เป็นทางเลือกจํานวนมาก และการมีระบบการเงินแบบกระจายอํานาจ (Decentralised Finance) ยังคงเป็นความท้าทายในเรื่องการบูรณาการ Platform ที่หลากหลายเหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาโครงสร้างตลาดให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องให้ความสําคัญกับเรื่องการพัฒนา Digital Platform ความปลอดภัยและการรวมข้อมูลทางการเงิน รวมทั้งต้องเฝ้าระวังด้าน Cyber Security เพราะเป็นสิ่งจําเป็นในการปกป้องนักลงทุนและเสถียรภาพโดยรวมของตลาด

ท่ามกลางความท้าทายก็ยังมีประตูแห่งโอกาสซ่อนอยู่มาก เช่นกัน Loh Boon Chye เชื่อว่าในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยี Blockchain เพิ่มความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดโดยรวมได้

เทคโนโลยี Blockchain และ Distributed Ledger Technology ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขายและชําระราคาหลักทรัพย์ นอกจากนี้ การบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning จะช่วยเสริมศักยภาพในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด ตรวจจับความผิดปกติ และปรับปรุงการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยในกระบวนการตัดสินใจและทําให้ผู้เข้าร่วมตลาดได้รับข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างชาญฉลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ไม่ควรนําไปใช้อย่างเร่งรีบ ต้องคํานึงถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมและผู้มีส่วนร่วมด้วย การนําไปปฏิบัติจะต้องได้รับการสนับสนุนจากความไว้วางใจ เทคโนโลยีจึงจะเป็น Game Changer ที่แท้จริง

ไพบูลย์มีมุมมองว่ากฎเกณฑ์แบบเดิม ๆ อาจไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปเมื่อเทียบเคียงกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่ต่างก็มีเป้าหมายที่จะปั้นสตาร์ทอัพต่าง ๆ ให้กลายเป็นยูนิคอร์น

“ความท้าทายเมื่อเข้าสู่โลกของ Digital Transformation ที่อนาคตจะถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลในหลายมิติ บริษัทด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการรองรับบริษัทเหล่านี้ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ อำนวยความสะดวกต่อธุรกิจพวก Startups หรือไม่ โดยธรรมชาติแล้ว บริษัทกลุ่มนี้เพิ่งจะเริ่มต้นยังไม่มีกําไร มีแต่แนวคิดในการท่าธุรกิจแห่งอนาคต

“ความท้าทาย คือหนึ่ง เราพร้อมไหมที่จะรองรับธุรกิจประเภท New Economy ผมคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มทําตรงนี้แล้ว แต่ที่ท้าทายไปกว่านั้นคือ เราเป็นทางเลือกที่เขาสนใจหรือไม่ เพราะตอนนี้ตลาดทุนไม่มีพรมแดน ใครอยากจะระดมทุนหรือลงทุนที่ไหนก็ได้หมด ประการที่สองคือ รูปแบบของการระดมทุนประเภท Tokenization ที่บริษัทรุ่นใหม่ ๆ ต้องการ เราก็ต้องพร้อม ส่วนประเด็นสุดท้ายในฝั่งของนักลงทุน ต้องส่งเสริมความรู้และสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ให้เติบโตทัน เรามีผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ไหม โจทย์คือ จะทําอย่างไรให้คนกลับมาสนใจลงทุนในสินค้าไทย”

ขณะที่อดิศรให้มุมมองว่าสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังสามารถพัฒนาต่อได้ในอนาคต คือการเฟ้นหาและพัฒนาผู้มีไอเดียต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้โดยง่าย

“ต้องบอกว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นตัวกลาง และเป็นกลางน้ํา ไม่ใช่ต้นนํ้า วันนี้ประเทศไทยขาดต้นนํ้า หรือคนที่มีไอเดียจะมาสร้างธุรกิจ ขณะเดียวกันคนเหล่านี้ก็อาจจะยังมองไม่เห็นว่าจะต่อยอดหรือหาแหล่งทุนจากไหน กลไกการเข้าถึงทุนของเด็กรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองต้องให้ความสําคัญ”

นอกจากนี้ อดิศรเห็นว่า ‘โอกาส’ การเข้าถึงแหล่งทุนของแต่ละคนนั้นยังไม่อาจพูดได้ ‘เท่ากัน’ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทํา คือการออกแบบกลไกรวมถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่จะสร้างโอกาสให้ทุกคนได้อย่างเท่าเทียม

ประเด็นนี้ในมุมมองของสมจินต์เห็นว่าความร่วมมือกันจะนําพาให้ตลาดทุนผ่านความท้าทายไปได้

“ผมยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดทุนมีความสําคัญมาก ในยามที่มีความท้าทายรออยู่เบื้องหน้า ความร่วมมือกันในตลาดทุนในการป้องกัน ติดตามแก้ไขปัญหา จะนําพาให้เราเดินไปข้างหน้า โดยไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกัน ในอนาคตการพัฒนาอย่างยั่งยืนยังคงเป็นเรือธงในการขับเคลื่อนให้บริษัทมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและเกื้อกูลสังคมให้เติบโตและก้าวไปด้วยกัน และสุดท้ายคือบรรษัทภิบาล ถือเป็นรากฐานที่สําคัญของตลาดทุนในทุกยุคสมัยแม้จะเกิดวิกฤตศรัทธาขึ้นมาบ้าง แต่ก็มีการปรับตัวและพัฒนาอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ Institutional Investors มีการยกระดับเกณฑ์การพิจารณาลงทุนและเรียกร้องให้บริษัทมี Good Governance ในการบริหารจัดการ และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ตลอดจนให้ความสําคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์รวม”

หากจะสรุปย่อ ๆ ถึงความคาดหวังในอนาคตของตลาดทุนไทย ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ สถาบันอนาคตไทยศึกษาได้ฉายภาพที่อยากเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “ผมมองว่า ตลาดทุนในอนาคตต้องมีความชัดเจน มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

“อยากเห็นตลาดทุนในอนาคตมีความชัดเจนเป็นอันดับแรกอันดับสองอยากเห็นคุณภาพ อันที่สามผมอยากเห็นการเชื่อมต่อของโลก Digital Assets ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

“ขอขยายความว่าในเรื่องความชัดเจนผมคิดว่ามีความสําคัญ ที่สุดเพราะตลาดทุนเป็นอุตสาหกรรมที่เข้าใจยาก มีคนเข้าใจที่เข้าใจจริง ๆ น้อย Digital Assets ยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ทั้งหมดนี้ ส่งผลกระทบทั้งประเทศ เพราะฉะนั้น เป้าหมายต้องมีความชัดเจนว่า ทําไปเพื่ออะไร ให้กับใคร ต้องหากลยุทธ์ที่ชัดและแข่งได้ในภาวะข้างหน้า รวมถึงต้องไม่ลืมว่าเรายังต้องปรับปรุงการเฝ้าระวังและการกระชับ Due Process เพื่อให้เกิดความ Fair and Orderly Market อันเป็นพื้นฐานสําคัญของตลาดทุนคุณภาพ

“นอกจากนี้ เรื่องคุณภาพและความหลากหลายของสินค้า คือหัวใจของตลาดทุน ต้องทําให้ตลาดทุนเป็นกลไกสําหรับเคลื่อนย้ายทุนที่มีประสิทธิภาพ ให้เงินลงทุนไหลไปสู่สินค้าที่ดี ที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และในขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์ของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนไปด้วย

“ประเด็นสุดท้ายคือ ต้องตาม Digital Assets และ Tokenization ให้ทัน ว่าจุดยืนของตลาดทุนไทยในโลกอนาคตที่ไม่แน่นอน และคู่แข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความไร้พรมแดนของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นอย่างไร”

แน่นอนว่าภารกิจในการลากเส้นต่อจุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงไม่จบสิ้นแค่เพียงภาพที่เห็นในปัจจุบัน เพราะท่ามกลางความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่รออยู่ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องทําต่อ และการเอื้อมมือไปสู่พันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อสร้าง ‘ตลาดทุนสําหรับทุกคน’ จะทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายวงกว้างของภาพแห่งโอกาสไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด

สภาธุรกิจตลาดทุนไทยประกอบด้วย 7 องค์กรหลักของตลาดทุนไทย เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาตลาดทุนร่วมกัน ได้แก่ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เล่าถึงบทบาทของสภาธุรกิจตลาดทุนไทยว่า “เราก็เป็นศูนย์กลาง ที่ให้ทุกฝ่ายมาหารือร่วมกันว่าตลาดทุนไทยควรจะพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นหนึ่งใน 7 องค์กรของเราที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง ในการร่วมกันขับเคลื่อนและสร้างพลัง เช่น เราได้จัดหลักสูตรการอบรมมากมายให้แก่ CEO, CFO, CIO และคณะกรรมการตรวจสอบต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนสําคัญที่ทําให้บริษัทจดทะเบียนมีความเข้มแข็งมากขึ้น”

เมื่อถามถึงการเดินทางของตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วง 50 ปี ที่ผ่านมากอบศักดิ์มองว่าตลาดทุนไทยมีการเติบโตที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นองค์ประกอบที่สําคัญยิ่งของระบบการเงินไทยและมีส่วนสําคัญในการพัฒนาประเทศมาอย่างดียิ่งในช่วงที่ผ่านมา

“ถ้าย้อนไปดูภาพในอดีต บริษัทใหญ่ ๆ ขยายกิจการและเติบโตขึ้นมาได้จากการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ก็ได้รับ การจัดกลุ่มใน Fortune 500 ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 อันดับแรกของโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเป็นฐานสําคัญให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ นับว่าเป็นกลจักรที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง

“ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน ก็นับว่ามีความหลากหลายมีวิวัฒนาการที่สําคัญจากหุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งเป็นสินค้าเกษตรและทองคำ รวมถึงการพัฒนา ให้สามารถนำหุ้นต่างประเทศเข้ามา Listed ในประเทศไทย การคิดเรื่องของ Dual Listing ผมคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยก็มีความครบถ้วนมากขึ้น

“อย่างไรก็ตาม ในยุคที่โลกการลงทุนเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องแข่งกันกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก หมายความว่าการเดินต่อไปข้างหน้าต้องปรับตัวมุ่งสู่อนาคตจะเป็นตลาดหลักทรัพย์แบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกต่อไป

การจะสร้างความสามารถในการแข่งขันตลาดทุนไทย เราต้องเตรียมพร้อมต่อการรองรับสินทรัพย์ในอนาคตให้หลากหลายเพียงพอ

“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องตัดสินใจว่าจะทําอย่างไรให้ตลาดทุนไทยมีสินทรัพย์แห่งอนาคต บางสินทรัพย์ก่อนหน้านี้อาจจะยังไม่เหมาะกับการลงทุน แต่ปัจจุบันมีความพร้อม และเป็นที่สนใจมากขึ้นแล้ว

“นอกจากนี้ ยังมีสินทรัพย์ทางเลือก อย่างเช่น ของสะสมต่าง ๆ ถึงแม้จะไม่ได้มีสภาพคล่องเท่าสินทรัพย์อื่น ๆ แต่ก็มีนักลงทุนจํานวนมากให้ความสนใจทุกวัน แม้แต่บ้าน คอนโดฯ อสังหาริมทรัพย์ สามารถพัฒนาเป็นกองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ได้แล้ว และอาจนำมาซื้อขายในตลาดหุ้นในรูปแบบ Investment Tokens ได้เช่นเดียวกัน

“จากทั้งหมดที่ว่ามา ผมคิดว่าคําถามสําคัญที่ต้องตอบให้ได้คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเดินหน้าต่อกับสินทรัพย์ใหม่ ๆ เหล่านี้อย่างไร?”

นอกจากนี้ กอบศักดิ์ยังได้ให้มุมมองที่แหลมคมต่อไปว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยกําลังเข้าสู่โค้งสําคัญ ซึ่งเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปรียบเสมือนกําลังล่องแก่งไปสู่คลื่นและโขดหินมากมาย

“ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่สําคัญที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราต้องคิดว่าเราจะปรับตัวอย่างไร แล้วจะเตรียมการเพื่ออนาคตอย่างไร ก็มีโอกาสที่ว่าในอนาคตเพื่อนๆ ของเรา ในภูมิภาคอาจจะล้มหายตายจากไป ถูกคนอื่นเข้ามาซื้อ หรือถ้าเกิดไม่มีใครซื้อก็จะถูก Marginalized กลายเป็นตลาดเล็ก ๆ ไม่มีความสําคัญ สิ่งที่ผมคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนไปในอนาคต เช่น การปรับกฎเกณฑ์บางอย่างให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ต้นทุนการดําเนินงานมีความคล่องตัวขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ ก.ล.ต. ควรจะร่วมมือกันทําระบบ Digital Channel ในการติดต่อทางการของตลาดทุนทั้งหมดเพื่อลดต้นทุน อีกประการที่สําคัญมากคือการจัดการข้อมูล

“การดําเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวข้องกับ Asset ในตลาดทุนที่มีค่าอย่างยิ่ง เราต้องมีวิธีดําเนินการที่แตกต่างจากเดิม จากแต่ก่อนใช้ระบบ Data แบบเดิมก็ปรับการทํางานให้เป็น Data Lake แบบใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดเก็บข้อมูล

“ถ้าเราเลือกทางที่ดีใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ได้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะสามารถก้าวไกลไปเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่สําคัญในภูมิภาคได้เรามีศักยภาพที่สามารถไปได้เพียงแต่เราเปิดประตูรับโอกาสที่เปิดขึ้นหรือไม่”

กอบศักดิ์ให้แง่คิดว่าตลาดหลักทรัพย์จําเป็นต้องพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซนให้ได้และพยายามเพิ่มเสน่ห์ของตลาดทุนไทยด้วยการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ในธุรกิจแห่งอนาคต

“ผมบอกเลยครับว่า วันนี้ตลาดหุ้นอเมริกา เมื่อเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้วต่างกันอย่างลิบลับ จากเมื่อก่อนธุรกิจใหญ่ ๆ ต้องพูดถึง Ford หรือ JP Morgan ขณะนี้ Top 10 ก็คือ Microsoft, Apple, Amazon, Meta, Tesla, Nvidia เป็นต้น พวกนี้คือหุ้นเทคโนโลยีในอนาคต คําถามก็คือว่าเราจะทํายังไงให้ประเทศไทยมีหุ้นที่เป็นอนาคตเหล่านี้ ซึ่งมีโอกาสอย่างมากในการจะก้าวขึ้นไปกลายเป็นสินทรัพย์ที่สําคัญถ้าเราตอบโจทย์นี้ไม่ได้ เราก็จะกอดคอกัน แล้วก็จะจมไปด้วยกัน กลายเป็นคนที่โลกลืม ซึ่งเราไม่ต้องการแบบนั้นแน่นอน”

นอกจากการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุน กอบศักดิ์อยากชักชวนให้คิดถึงมิติทางสังคมเพิ่มขึ้น

“ทําอย่างไรที่ตลาดทุนจะออกแบบเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมให้คนกลุ่มเปราะบางในสังคม อย่างเช่น คนสูงวัย เด็ก คนยากจน ฯลฯ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น”

อีกเรื่องที่สําคัญและกําลังเป็นประเด็นปัญหาท้าทายใหม่ของการลงทุนทั่วทั้งโลก นั่นคือกลโกงหรือมิจฉาชีพ ที่เข้ามาล่อลวงนักลงทุนด้วยวิธีการต่าง ๆ แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ตลาดทุนไทยต้องเร่งสะสาง

“ตลาดทุนไทยก่อร่างสร้างตัวมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าโจทย์ในยุคนี้ย่อมเปลี่ยนไปจากยุคแรกเริ่ม ในช่วงตั้งไข่ ตลาดทุนเราอยากจะขยายตัวเองขึ้นมา เพื่อตั้งตัวให้ได้ก่อน การมี Blind Spot หรือ Dark Alley อยู่ในตลาด จึงเป็นเรื่องที่อาจปล่อยผ่านไปก่อนได้ แต่วันนี้เราต้องเข้าใจว่าจุดมืดเหล่านี้คือตัวการสําคัญที่ทําลายตลาดทุน ดังที่เห็นจากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“ผมอยู่ในภาคการเงินมาตั้งแต่ต้น รู้เลยว่าคําว่า Trust คือ หัวใจของการสร้างตลาดทุนให้ก้าวไกลขึ้นไปได้ ถ้าเมื่อใดก็ตามมีการตั้งคําถามเรื่อง Trust ตลาดทุนก็จะสั่นคลอน คงถึงเวลาแล้วที่จะจัดการกับปัญหาที่ก่อให้เกิดการบั่นทอนความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย”

ขณะเดียวกันเมื่อกล่าวถึงประเด็นการเป็น ‘ตลาดทุนสําหรับทุกคน’ ต้องยอมรับว่า ตอนนี้ประโยชน์ที่ได้จากการลงทุน ยังตกเป็นของคนกลุ่มเล็ก ๆ ยังเป็นตลาดทุนที่ไม่ได้มีอยู่เพื่อคนทุกคนอย่างแท้จริง

“ทําอย่างไรให้ตลาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและเป็นของทุก ๆ คน ผมทํางานอยู่ในกลุ่มธนาคาร ก็มักจะได้ยินคําว่า ‘เสือนอนกิน’ อยู่บ่อยครั้ง นั่นเป็นเพราะคนส่วนหนึ่งในสังคมยังมองว่า เรามาทําธุรกิจเพื่อกอบโกยแต่ผลกําไรไม่ได้สร้างประโยชน์คืนกลับสู่สังคมเลย ตลาดทุนเองก็คงจะถูกมองคล้าย ๆ กัน

“อยากชวนคิดเรื่องการใช้กลไกตลาดทุนเพื่อช่วยเหลือส่วนอื่นของสังคม เช่น ล่าสุดเราก็มีกองทุนรวม ส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย (Thai ESG) ที่นําเงินไปลงทุนกับบริษัทไทย ที่ให้ความสําคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม ทําเพื่อสังคม มีระบบที่โปร่งใส และเป็นกองทุนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ตลาดทุน ทําเรื่อง Social Contribution ถ้าหากเราทําได้ก็จะทําให้ตลาดทุนเป็นที่รักเองทุกคนได้อย่างแท้จริง”