ความยั่งยืนคือรากฐาน
สําหรับบริษัทจดทะเบียนไทยนอกจากจะขยายกิจการ ทํากําไรได้ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทําได้ดีมาก ๆ คือการทําธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ต้องคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่อง นอกจากการพัฒนาคุณภาพบุคลากรในตลาดทุน และการทําให้นักลงทุนไทยมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนและความเสี่ยง
เพราะในอนาคตการเชื่อมต่อของตลาดทุนทั่วโลกจะกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ตลาดโลกหันมาให้ความสําคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามหากลไกต่างๆ เข้ามาสนับสนุนให้ธุรกิจมั่นคงอยู่ได้บนรากฐานของความยั่งยืน
ภากรวิเคราะห์ว่าสิ่งที่จะทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาต่อไปได้ในวันข้างหน้า ควรให้ความสําคัญกับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของตลาดทุน นั่นคือวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน หรือ ESG
“ตลาดทุนไทยต้องใช้จุดแข็งด้านตัวเลขผลประกอบการ ซึ่งเราทําได้ดีอยู่แล้ว มาเสริมด้วยคุณภาพ โดยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินกิจการอยู่บนฐานของความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญที่เพิ่มจุดแข็งด้านคุณภาพให้แก่ตลาดทุน
“การทําธุรกิจตลาดทุนในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตต้องมองเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้มากขึ้น ความเสี่ยงที่ว่านี้ไม่ได้จํากัดเฉพาะการบริหารความเสี่ยงเฉพาะธุรกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เป็นการบริหารความเสี่ยงในหลาย ๆ ปัจจัยที่เกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ความขัดแย้ง ภาวะโลกร้อน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามากระทบกับประเทศไทย กระทบกับความสามารถในการทํากําไรของบริษัทจดทะเบียน กระทบนักลงทุนที่จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น”
ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภากรยืนยันว่าการขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ 3 แกนหลักอันประกอบด้วย Digitalization, Connectivity & Inclusiveness และ Sustainability คือหนทางที่จะนําพา
ตลาดทุนไทยไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนได้
ถามว่าความภาคภูมิใจที่สุดในฐานะผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯ คืออะไร ภากรนั่งคิดชั่วครู่ ยิ้มกว้าง ก่อนตอบอย่างเสียงดังฟังชัด
“ความภาคภูมิใจของผมมีอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. ทําให้ตลาดทุนไทยเติบโตได้โดยมีประสิทธิภาพ ซึ่งวัดจากความสามารถในการทํากําไรและประสิทธิภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯ 2. ทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งทําให้มีคนที่ได้ประโยชน์จากตลาดทุนมากขึ้น และ 3. การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งไม่ได้มองเฉพาะบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น แต่เป็นการมองไปถึงนักลงทุนด้วย การมี Financial Literacy หรือมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน และเลือกลงทุนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม”
ประโยคส่งท้ายของ ภากร ปีตธวัชชัย เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง ในฐานะกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือการทําให้ตลาดทุนไทยยุคใหม่สามารถเข้าถึงทุกคนได้ ตอกย้ำสโลแกนขององค์กรที่ต้องการปูทางสู่อนาคตที่ว่า
“To Make The Capital Market ‘Work’ for Everyone”
“ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่าต้องทําให้
ข้อมูลการลงทุนสามารถเชื่อมต่อและถูกใช้
ในการวิเคราะห์ว่าเป็นโอกาสหรือความเสี่ยง
ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ผู้ใช้ข้อมูลจะ Balance ได้
ระหว่างโอกาสและความเสี่ยงนั้น”