ปี 2539-2548 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เกิดขึ้นเมื่อสถานะทางการเงินของประเทศไทยถูกคาดหมายว่าไม่เข้มแข็งเหมือนเดิม มีการพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ จึงเกิดการเทขายสินทรัพย์ลงทุนในตลาดต่าง ๆ รวมทั้งตลาดหุ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการขายเงินบาทเพื่อถือเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับประเทศไทยถูกโจมตีค่าเงินบาทจนต้องสูญเสียทุนสํารองเงินตราต่างประเทศจํานวนมาก ในที่สุดต้องมีการลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ภาคธุรกิจเกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยังส่งผลต่อการลงทุนทําให้นักลงทุนประสบภาวะขาดทุน ซึ่งมีผลต่อเนื่องทําให้เกิดความอ่อนแอของระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากเหตุการณ์ดังกล่าวยังทําให้แรงงานตกงานเป็นจํานวนมากกระทบต่อภาคครัวเรือน ประเทศไทยได้ร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ถูกขนานนามว่า ‘วิกฤตต้มยํากุ้ง’ และประเทศไทยต้องใช้เวลาอีกถึง 4-5 ปี กว่าที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้อย่างหนัก ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมลดลงอย่างมากเนื่องจากความอ่อนแอลงของธุรกิจและการสูญเสียความมั่นใจของนักลงทุน มีการปิดสถาบันการเงิน 56 บริษัท ซึ่งในจํานวนนี้เป็นบริษัทสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ฯ จํานวน 22 บริษัท ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ซบเซาหลังจากเกิดวิกฤตเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่อง ทําให้ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Idex) ลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดที่ 204.59 จุด ในวันที่ 4 กันยายน 2541
ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความอ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน การสร้างความเข้มแข็งแก่ธุรกิจหลักทรัพย์ที่คงเหลืออยู่ในขณะนั้น การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินของตลาดทุนเพื่อช่วยระดมทุนแก่สถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนและการระดมทุนที่ถูกต้องแก่ผู้เกี่ยวข้อง โดยการจัดตั้งสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute: TSI) และสถาบันวิทยาการตลาดทุน (Capital Market Academy: CMA) ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการพัฒนาความรู้สําหรับผู้ประกอบวิชาชีพในวงการตลาดทุน นักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งการพัฒนาความรู้การเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน (Financial Literacy) จนกลายเป็นหน่วยงานให้ความรู้ด้านการเงินที่สําคัญของประเทศ
วันเปิดทําการตลาดหลักทรัพย์ mai
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เตรียมพร้อมเพื่อมีส่วนร่วมสําคัญสนับสนุนการพลิกฟื้นประเทศไทยในช่วงเวลานั้น ที่มุ่งสร้างและพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้กลับมาเติบโตเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤต จึงได้มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2544 เพื่อให้เป็น Market Platform เพิ่มเติมสําหรับธุรกิจ SMEs
ในการฝ่าวิกฤตและมุ่งไปข้างหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองเห็นสัญญาณว่าในยุคต่อไปเทคโนโลยีสารสนเทศจะมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม และมีบทบาทในทุกวงการรวมถึงตลาดทุนด้วย
จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ ภายใต้ชื่อ Settrade.com ตั้งแต่ปี 2543 แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่มาถึงปัจจุบัน กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการซื้อขายแบบออนไลน์มีการขยายตัวอย่างมาก และกลายเป็นช่องทางหลักในการซื้อขายหลักทรัพย์ในทุกวันนี้
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 9
กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 9 กล่าวว่า “จํานวนคนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในยุคแรก ๆ ยังน้อยเมื่อเทียบกับปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมองตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนกับเป็นศูนย์เก็งกําไร เหมือนเป็นสถาบันการพนันแห่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น การให้ความรู้จึงเป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้คนทั่วไปทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ คือระบบตลาดรองที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้สินค้าหรือหุ้นมีสภาพคล่องคนจะได้กล้าลงทุน ผมได้รับคําแนะนําจากกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่านที่ 5 ก็คือ อาจารย์มารวย ผดุงสิทธิ์ ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าท่านเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ประสบความสําเร็จมากคนหนึ่ง เป็นยุคที่ท่านเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบการซื้อขายจากเคาะกระดานมาเป็นใช้คอมพิวเตอร์
“ท่านฝากงานไว้ว่า เราต้องเร่งให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ และแก่ประชาชนด้วย ผมจึงให้ความสําคัญในการให้ความรู้ เช่น การจัดสร้างห้องสมุดมารวย ผมได้คุยกับบรรณารักษ์ในการปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องสมุดที่เปิดให้บริการทุกวันถึงห้าทุ่ม เพื่อรองรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าข้อมูลหลังเลิกงานหรือเลิกเรียน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจลงทุน เช่น มหกรรมการให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่มีชื่อว่า ‘SET in the City’ และมีการจัดตั้งสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) เพื่อพัฒนาหลักสูตรในการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงหลากหลายวงการทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เพื่อเป็นกระบอกเสียงและเป็นกระจกให้เราด้วยว่า สิ่งที่เราทํายังมีอะไรบกพร่อง เพราะเชื่อว่าท่านเหล่านั้นอยากเห็นองค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นฟันเฟืองที่สําคัญในระบบเศรษฐกิจ”
บรรยากาศในงาน SET in the City
สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.)
“การให้ความรู้เป็นเรื่องสําคัญที่
จะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ให้คนทั่วไปทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ
คือระบบตลาดรองที่สร้างขึ้นมา
เพื่อให้สินค้าหรือหุ้นมีสภาพคล่อง”
เร่งวางรากฐานรองรับการเป็นหนึ่ง
ในเสาหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย
เกือบ 2 ทศวรรษหลังวิกฤตเศรษฐกิจ (ปี 2540-2558) นอกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็ง ยังเป็นช่วงเวลาที่ได้วางรากฐานการพัฒนา เพื่อสนับสนุนให้ตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจของไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนกว่าในยุคสมัยเดิม นอกจากยังคงทําหน้าที่เป็น Exchange Market Platform ที่ต้องพัฒนากําลังความสามารถให้รองรับการขยายตัวในระยะต่อไปแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเพิ่มบทบาทการเป็นหน่วยงานพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว (Long Term Development Function) ด้วย
การพัฒนา Exchange Market Platform ที่สําคัญเพิ่มเติมในช่วงนี้ ได้แก่ การจัดตั้งบริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (Thailand Futures Exchange: TFEX) การลงทุนเพื่อยกระดับระบบการซื้อขายใหม่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเทียบเท่าตลาดหลักทรัพย์ระดับสากล ใช้ชื่อว่า SET CONNECT เป็นต้น
สําหรับในด้านการพัฒนาตลาดทุนระยะยาว (Long Term Development) ที่มีการริเริ่มสําคัญ ได้แก่ การส่งเสริมเรื่องบรรษัทภิบาล (Corporate Governance: CG) และความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) แก่บริษัทจดทะเบียน โดยงานต่าง ๆ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความยั่งยืนในยุคต่อมา
การเพิ่มบทบาทดังกล่าวถือว่าเป็นการมองการณ์ไกลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในยุคนั้นที่ได้ลงทุนทําเรื่องนี้อย่างชัดเจนแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค โดยเชื่อว่าจะทําให้ตลาดทุนขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพและต่อเนื่อง ทั้งในด้าน Demand และ Supply และยังส่งผลเชื่อมต่อไปยังการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้