ปี 2559-2568 ร่วมกันสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในช่วงก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ถือว่าเป็นทศวรรษที่มีการเปลี่ยนแปลงของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งหนึ่ง อันเนื่องมาจากกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญอย่างมาก เช่น ความก้าวหน้าด้าน Digital Technology การเชื่อมต่อและการเข้าถึงสินค้าและบริการในยุค Online Platform และการเข้าสู่ยุคการพัฒนาความยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนและสังคมที่เสื่อมโทรมและการมีธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) รวมทั้งเป็นยุคที่เผชิญกับโรคระบาดอุบัติใหม่ COVID-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งผลกระทบจากสถานการณ์เหล่านี้ นํามาซึ่งการปรับตัวในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน ภาคตลาดการเงิน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย อาจเรียกได้ว่าในช่วง 10 ปีนี้เป็นยุคเริ่มต้นของช่วงเวลาการปรับตัวของมนุษยชาติ ‘Transformation Era’

ในทศวรรษนี้ นอกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยังคงทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์บน Current Market Platform รองรับการเติบโตของตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมที่กําลังเปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวข้างต้นทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อปรับตัวเข้าสู่โลกอนาคตใหม่ ซึ่งกําลังเป็นช่วงเวลาพัฒนาเข้าสู่ ‘Digital Economy and Sustainable Society’

การเชื่อมโยงและเข้าถึงตลาดทุนยุคใหม่

ความก้าวหน้าด้าน Digital Technology ในช่วงทศวรรษนี้ สะท้อนให้เห็นจากการมีความก้าวหน้าด้านสื่อสาร เช่น Smart Phone ที่ทันสมัยขึ้นเรื่อย ๆ การพัฒนา Social Media ใหม่ ๆ ที่ทําให้เชื่อมต่อกับคนจํานวนมาก เป็นยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึง ข้อมูล ข่าวสาร สินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็วและไร้พรมแดน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมต่อการลงทุนทุกภาคส่วน

ในขณะที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ร่วมตลาดได้ร่วมมือกันยกระดับระบบงานต่าง ๆ โดยใช้ Digital Technology เพื่ออํานวยความสะดวกให้สามารถเชื่อมต่อการลงทุนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตัวอย่างงานสําคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนในยุค Digital ได้แก่

เปิดกองทุน Thai ESG

DR
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เรียกว่า DR (Depositary Receipt) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ผู้ออกนําเงินลงทุนไปซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ ETF ต่างประเทศ แล้วนํามาจดทะเบียนเป็น DR ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ซื้อขายเหมือนหุ้นทั่วไป ซึ่งเริ่มซื้อขายครั้งแรกในปี 2561 ช่วยให้การลงทุนแบบไร้พรมแดนเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและกว้างขวาง

FundConnext
ในปี 2562 ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัท ดิจิทัล แอคเซส แพลตฟอร์ม จํากัด ได้พัฒนาระบบ FundConnext ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการลงทุนในกองทุนรวมแบบครบวงจร โดยลูกค้าเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนรวมเพียงที่เดียวก็สามารถซื้อขายกองทุนรวมได้หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

FinNet
บริษัท ฟินเน็ต อินโนเวชั่น เน็ตเวิร์ค จํากัด หรือ FinNet ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดตั้งขึ้นในปี 2562 เพื่อให้บริการระบบกลางในการชําระเงินสําหรับตลาดทุน โดยเชื่อมต่อกับสถาบันตัวกลางและธนาคารพาณิชย์ในการอํานวยความสะดวกให้เกิดการชําระราคาแบบสุทธิในที่เดียว ทําให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและลดความเสี่ยงในกระบวนการชําระเงินในตลาดทุน

e-Open Account
ในปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จํากัด ได้เริ่มให้บริการระบบเปิดบัญชีออนไลน์ (e-Open Account) โดยเชื่อมต่อกับบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ทําให้นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีซื้อขายออนไลน์ได้สะดวกและรวดเร็ว

SET Investnow
เป็นเว็บไซต์แหล่งข้อมูลและความรู้การลงทุนแบบออนไลน์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาขึ้นในปี 2563 เพื่อรองรับความนิยมของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และนักลงทุนกลุ่มนี้สนใจติดตามฟังก์ชันข้อมูลและเรียนรู้ด้วยตนเอง SET Investnow นําเสนอฟังก์ชันที่ใช้งานง่ายและเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กระชับ สั้น เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ทําให้สะดวกต่อการตัดสินใจเริ่มลงทุน

Prof.Link
เป็น Platform สําหรับผู้ร่วมตลาดที่สําคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ได้แก่ บุคลากรที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น ผู้แนะนําการลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุน ในแต่ละปีบุคลากรดังกล่าวจะต้องรวบรวมจํานวนชั่วโมงอบรมเพื่อยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อ สํานักงาน ก.ล.ต. ทําให้เป็นภาระทั้งบุคลากรและต้นสังกัด ในปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ริเริ่ม พัฒนา Prof.Link Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลดังกล่าว ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในการต่ออายุใบอนุญาต นอกจากนี้ Prof.Link ยังเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารและการอบรมแบบออนไลน์สําหรับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนให้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง

SETLink
บริษัทจดทะเบียนเป็นผู้ร่วมตลาดที่สําคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งในด้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความเป็นไปของธุรกิจ การเพิ่มทุน การใช้เครื่องมือทางการเงินในตลาดทุนในช่วงเวลาต่าง ๆ การประกาศจ่ายเงินปันผล การประชุมผู้ถือหุ้น การพัฒนาความรู้แก่บุคลากรของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการติดต่อสอบถามข้อมูลมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมบริษัทจดทะเบียนอาจต้องนําส่งและติดต่อเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในหลายช่องทาง ดังนั้น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่บริษัทจดทะเบียน ในปี 2564 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนา SETLink ให้เป็น Platform ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อข้อมูลและการติดต่อกับบริษัทจดทะเบียนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

DRx (Fractional Depositary Receipt)
ในปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ริเริ่มพัฒนา DRX ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศเหมือนกับ DR แต่แบ่งให้เป็นหน่วยย่อยทําให้ราคาถูกลงเพื่อให้นักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าถึงหุ้นต่างประเทศชั้นนำก็สามารถลงทุนได้ด้วยเงินจํานวนน้อย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างโอกาสให้ทุกฝ่าย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ผู้เกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้มีเฉพาะ ‘คนใกล้’ เช่น บริษัทจดทะเบียน และนักลงทุน แต่ยังมี ‘คนไกล’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น ผู้มีเงินออมและต้องการเริ่มลงทุน คนทํางาน ผู้สูงอายุ เยาวชน ผู้บริโภคสินค้าและบริการของบริษัทจดทะเบียน ผู้ประกอบการที่มีโอกาสเติบโต ชุมชนเมือง ภาคชนบท เป็นต้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสร้างโอกาสให้กลุ่มคนดังกล่าวได้เข้าถึงตลาดทุนในลักษณะต่าง ๆ เช่น การพัฒนาความรู้และทักษะด้านการออม การลงทุน เพื่อสร้างความมั่นคงและความสุขทางการเงินให้แก่ชีวิต การพัฒนาความรู้และทักษะการประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนแก่ธุรกิจ เป็นต้น หากระบบนิเวศในตลาดทุนมีความแข็งแรงและมีเสถียรภาพจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในระดับมหภาคของประเทศเกิดการเติบโต มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 

ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดําเนินงานด้านการพัฒนาเพื่อสร้างโอกาสสําหรับ ‘คนใกล้’ และ ‘คนไกล’ ให้เข้าถึงตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างงานสําคัญ ได้แก่

ห้องเรียนนักลงทุน

เมื่อเข้าสู่ยุค Digital Technology การเรียนรู้ด้วยตนเองแบบออนไลน์บน Smart Phone, Tablet หรือ Notebook สามารถทําได้อย่างง่ายดาย และเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สะสมเนื้อหาความรู้ทั้งในลักษณะพื้นฐานเชิงกว้างและเชิงลึก รวมทั้งเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีเพิ่มขึ้นในตลาดทุน จนพัฒนาเป็นคลังความรู้ที่เรียกว่า ‘ห้องเรียนนักลงทุน’ ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะหลักสูตร e-Learning ด้านการลงทุน ผู้ที่เรียนจบและผ่านการทดสอบแต่ละหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตร จากตลาดหลักทรัพย์ฯ หลักสูตร e-Learning ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19 ซึ่งประชาชนต้อง Work From Home ทําให้การเข้าเรียนหลักสูตรดังกล่าวมีการขยายตัวอย่างมาก

ห้องสมุดมารวย

ห้องสมุดมารวย

เป็นห้องสมุดเฉพาะทางด้านตลาดทุน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา และเมื่อมีการย้ายที่ตั้งและเปิดอาคารสํานักงานแห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2559 ห้องสมุดมารวยก็ยังเป็น Showcase ความเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านตลาดทุนบนแนวคิด ‘Modern Living Library’ และพัฒนา Maruey Application เพิ่มเติมให้สามารถรองรับบริการการเป็น e-Library อย่างสมบูรณ์แบบ

Happy Money สุขเงินสร้างได้

เป็นโครงการส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนให้แก่ประชาชนเพื่อให้มีความรู้และทักษะการเงินขั้นพื้นฐาน (Financial Literacy) และความรู้ด้านการลงทุนในตลาดทุน (Investment Knowledge) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ดําเนินการร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรจากองค์กรต่าง ๆ มาเป็นเวลายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ จนกลายเป็นศูนย์กลางความรู้ที่สําคัญแห่งหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ดี ในช่วงเหตุการณ์การระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบให้เกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจ และเกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนกลับมาอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ความต้องการในการพัฒนาความรู้และทักษะ เพื่อทําให้ ‘หมดหนี้ มีออม ลงทุนเพิ่มค่า วางแผนก่อนแก่’ ยังมีอยู่อีกมากในประชาชนทุกกลุ่ม ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้พัฒนา Happy Money Application ขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้ประชาชนสามารถสํารวจสถานะทางการเงิน การวางแผนการชําระหนี้ การออมและการลงทุน รวมทั้งได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ที่มีพนักงานจํานวนมาก และต้องการได้รับความรู้เพื่อให้คำปรึกษาแก่พนักงานให้ชีวิตมีความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้น

พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน (INVESTORY)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดให้มีแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ของตลาดทุนคือ พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุนแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ ‘INVESTORY’ ซึ่งเปิดให้บริการพร้อมกับการเปิดอาคารสํานักงานแห่งใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2559 INVESTORY ได้รวบรวมข้อมูลประวัติความเป็นมาของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบบนิเวศของตลาดทุน ผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งการวางแผนการเงินและการลงทุน ผ่านสื่อเทคโนโลยีการเรียนรู้ที่ทันสมัย นอกจาก INVESTORY ในลักษณะ Onsite ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ยังจัดให้มี Virtual Museum ของ INVESTORY เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมทางออนไลน์และยังพัฒนา INVESTORY Mobile Exhibition on Schools เพื่อนําเสนอกิจกรรมความรู้ตลาดทุนแบบสนุกสนานไปยังโรงเรียนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้เยาวชนเข้าถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดทุนได้

LiVE Platform

ถูกจัดตั้งขึ้นโดยบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เป็น Exchange Platform แห่งใหม่ นอกเหนือจาก SET และ mai โดยเล็งเห็นว่า ภายใต้ยุค Digital Economy โครงสร้างธุรกิจในประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากยังมีธุรกิจ SMEs ที่กําลังเติบโตอีกจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังเกิดธุรกิจ Startups ที่มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นําเสนอสินค้าและบริการจากการคิดค้นนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบ และนําไปสู่การขยายขนาดให้เติบโตต่อไป ซึ่งธุรกิจดังกล่าวข้างต้นยังอาจมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าระดมทุนและจดทะเบียนใน SET และ mai ได้ ดังนั้น LiVE Platform จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมแก่ธุรกิจ SMEs และ Startups ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาห้องเรียนผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐาน 2) การคัดเลือกผู้ประกอบการเข้าสู่โครงการ Scaling up เพื่อเตรียมความพร้อมการระดมทุนในตลาดทุน 3) การจัดตั้ง LiVE Exchange เพื่อเป็นตลาดรองสําหรับ SMEs และ Startups เข้าจดทะเบียน และเพื่อรองรับให้ Qualified Investors สามารถเข้ามาทําการซื้อขายได้

SET Social Impact GYM

เป็นโครงการเพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวความคิดการบริหารเพื่อสร้างความสมดุลตามหลัก 3 Ps ได้แก่ Profit, People, และ Planet การส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคมที่เติบโตและเข้มแข็งจะมีส่วนอย่างมากในการเข้าไปแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2559 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้ง SET Social Impact Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม โดยใช้จุดแข็งจากการที่มีผู้ประกอบการและผู้บริหารจากบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET และ mai ที่สามารถแบ่งปันความรู้และทักษะในการบริหารอย่างมืออาชีพ มีการพัฒนาหลักสูตรธุรกิจเพื่อสังคมให้แก่ผู้สนใจและขยายไปยังนิสิตและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดให้มีโครงการ SET Social Impact GYM โดยคัดเลือกผู้ประกอบธุรกิจเพื่อสังคมเข้าร่วมโครงการให้คำปรึกษาจากโค้ช ผู้บริหาร Top Executive ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และมีการติดตามความก้าวหน้าของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาเทคโนโลยีรองรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

การเกิดขึ้นและดํารงอยู่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน มีท่วงทํานองสอดคล้องกับความทันสมัย นวัตกรรม เทคโนโลยีในยุคนั้น ๆ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพยายามที่จะปรับตัวให้ระบบงานมีความทันสมัยและรองรับอนาคตตลอด 50 ปี ที่ผ่านมา

นับจากปัจจุบันย้อนหลังไป 10 ปี เริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นอย่างมากเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถนําไปสู่แนวโน้มการลดบทบาทของตัวกลาง (Disintermediation) ซึ่งหากเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบแล้วอาจจะพลิกโฉมระบบและตลาดการเงินไปจากเดิมได้ เพราะระบบและตลาดการเงินที่เป็นอยู่เป็นระบบที่ใช้ตัวกลางเป็นหลัก เช่น ระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีการระดมเงินออมในรูปแบบเงินฝาก และปล่อยเงินกู้ในรูปแบบสินเชื่อ จะดําเนินการผ่านตัวกลางที่สําคัญคือ ธนาคารพาณิชย์ หรือในตลาดทุนการมีกลไกระดมทุนแบบ IPO และกลไกการลงทุนของนักลงทุนก็ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบบใหม่ เช่น Blockchain Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างระบบกระจายอํานาจโดยลดบทบาทของตัวกลาง ทําให้ไม่จําเป็นต้องพึ่งตัวกลางอีกต่อไป เช่น การทําธุรกรรมการกู้เงินแบบ Peer to Peer Lending หากเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายก็สามารถตัดตัวกลาง เช่น ธนาคารพาณิชย์ออกไปได้ หรือแม้แต่ในตลาดทุน Blockchain Technology สามารถทําให้เกิด Peer to Peer Securities Fundraising หรือการระดมทุนแบบที่เรียกว่า Initial Coin Offering (ICO) โดยระดมทุนแลกกับ Digital Assets บนระบบ Blockchain เป็นต้น ดังนั้น หากไม่มีแผนการรองรับแล้ว ในอนาคตระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บน Exchange Market Platform ที่มีอยู่ จะไม่สามารถรองรับสินทรัพย์ลงทุนชนิดใหม่ ที่เรียกว่า Digital Assets ได้

ในปี 2561 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการศึกษาและพัฒนา Blueprint เพื่อเตรียมการพัฒนาให้ ‘Digital Exchange’ ที่มีอยู่แล้ว สามารถรองรับบทบาทสำคัญครั้งใหม่ในการทำหน้าที่เป็น Market Platform ของตลาดทุนไทยในยุคดิจิทัล โดย บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จํากัด (TDX) ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัลภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565

เตรียมพร้อมรองรับตลาดทุนยุคใหม่ ด้วย Digital Assets Exchange

บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จํากัด (Thai Digital Assets Exchange Company Limited: TDX) เป็นบริษัทในกลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์กลางหรือเครือข่ายสำหรับการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Exchange) โดย TDX มีความมุ่งมั่นที่จะทําให้ Digital Assets เป็นทางเลือกใหม่ ที่มีความน่าสนใจและสามารถเข้าถึงลูกค้าในทุกระดับ เพื่อเพิ่มโอกาสและความหลากหลายในการระดมทุนและการลงทุนผ่าน Digital Assets ภายใต้กฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

พิธีลงนามความร่วมมือประสานพลังร่วมพัฒนาการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

TDX มุ่งเน้นให้บริการแก่ผู้ประกอบกิจการในทุกกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม เพื่อสนับสนุนการระดมทุนผ่านการออก Digital Assets โดยให้บริการแก่ลูกค้าในทุกระดับเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการลงทุน ด้วยการนําเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) เข้ามาช่วยสนับสนุนการให้บริการของศูนย์ซื้อขาย Digital Assets ทําให้กระบวนการซื้อขาย Digital Assets มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าการทําธุรกรรมบนศูนย์ซื้อขาย Digital Assets ของ TDX นั้นมีความปลอดภัย โปร่งใส และเป็นกลาง

บทบาทและหน้าที่ของ TDX ที่เกิดขึ้นสามารถดําเนินงานเคียงข้างไปกับ Exchange Market Platform อื่น ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการระดมทุนและการลงทุนให้ธุรกิจและเศรษฐกิจของไทยพัฒนาก้าวหน้าไปยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่เป็นความทันสมัยในอนาคตจาก TDX อาจแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้จากการที่บริษัทจดทะเบียนและธุรกิจ SMEs ที่กําลังเติบโตสามารถออก Investment Tokens หรือ Utility Tokens เพื่อเป็นทางเลือกในการระดมทุนของธุรกิจบน Digital Economy และเป็นทางเลือกในการลงทุนแก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศที่แสวงหา Digital Assets ที่ดีและมีอนาคตเพิ่มเติมเข้าไปในพอร์ตการลงทุน

พิธีเปิดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลวันแรกในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทยของบริษัท เรียล เอสเตท เอ็กซ์โพเนนเชียล จํากัด

การวางรากฐานเพื่อความยั่งยืนของตลาดทุนไทย

การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2518 เป็นต้นมา อยู่ภายใต้การวางรากฐานของระบบงานที่ยึดหลักธรรมาภิบาลทั้งขององค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง และของผู้เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจดทะเบียน เป็นต้น

ในด้านระบบการซื้อขายต้องคํานึงถึงความยุติธรรม (Fairness) ความโปร่งใส (Transparency) ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) เพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้เกี่ยวข้องดําเนินการอย่างมืออาชีพและมีความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ส่วนในด้านบริษัทจดทะเบียนนั้น การคัดเลือกธุรกิจที่เข้ามาจดทะเบียนต้องทําให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะได้ ‘บริษัทที่ดีและเก่ง’ ในด้านระบบการดําเนินธุรกิจที่มีมาตรฐานสูง มีระบบควบคุมภายในที่ดี ซึ่งสะท้อนถึงความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย นอกจากนี้ ยังกําหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจเป็นระยะ เพื่อเป็นข้อมูลสําคัญให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างทันเวลา

ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา การดําเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ถูกทดสอบและทําให้เกิดการพัฒนาความเข้มแข็งเกี่ยวกับธรรมาภิบาลมาโดยตลอด เช่น การเผชิญกับภาวะการปั่นหุ้นครั้งแรก ในปี 2522 ทําให้เกิดการปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการกํากับการซื้อขายหลักทรัพย์และการเปิดเผยข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น ในปี 2538 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เสนอแนะให้บริษัทจดทะเบียนปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการให้มีกรรมการอิสระ เพื่อคอยช่วยทําหน้าที่ Check and Balance ซึ่งถือเป็นหลักการหนึ่งของการกํากับดูแลกิจการที่ดี และได้ยกระดับเพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการตรวจสอบในปี 2541

อย่างไรก็ดี หลังเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ของประเทศไทย เมื่อมีการทบทวนพบว่าการซวนเซของธุรกิจจํานวนมาก ซึ่งรวมบริษัทจดทะเบียนด้วยล้วนมีส่วนมาจากการไม่มีภูมิคุ้มกัน ความไม่พอประมาณ ความไม่มีเหตุมีผล และขาดความรู้คู่คุณธรรม สะท้อนให้เห็นว่าธรรมาภิบาลของผู้เกี่ยวข้องยังต้องพัฒนาและยกระดับต่อไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ร่วมตลาดในช่วงนั้นได้ดําเนินการรณรงค์และพัฒนามาตรฐานด้านการกํากับดูแลกิจการ เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนใช้เป็นแนวทางพัฒนา ‘บรรษัทภิบาล’ ให้ดียิ่งขึ้น ต่อมา กระแสการพัฒนาบรรษัทภิบาลไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะเรื่องการมีระบบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ธุรกิจถูกคาดหวังให้ดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ในปี 2550 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ก่อตั้งสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility Institute: CSRI) เพื่อส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานความรู้และส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและผู้เกี่ยวข้องดําเนินการในเรื่องนี้

ในช่วงเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 การพัฒนาบรรษัทภิบาลได้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ยุค ‘การพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Corporate Sustainability)’ ซึ่งเป็นการบูรณาการเรื่องการกํากับดูแลกิจการที่ดีเข้ากับการดําเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสังคมและสิ่งแวดล้อมของโลกมีความเสื่อมโทรมและมีปัญหาที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการจึงควรมีส่วนรับผิดชอบ และแก้ไขอย่างเร่งด่วน ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เร่งดำเนินการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental: E) ด้านสังคม (Social: S) และด้านการกํากับดูแลกิจการ (Governance: G) จนประสบความสําเร็จได้รับการยอมรับว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการพัฒนาด้าน ESG Products ที่โดดเด่นในภูมิภาค

ผลงานสําคัญเกี่ยวกับการพัฒนาความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงทศวรรษนี้ สรุปได้ดังต่อไปนี้

เร่งพัฒนาบริษัทจดทะเบียนเข้าสู่ยุค ESG

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทําหน้าที่เป็น ESG Standard Setting Center โดยศึกษามาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ของธุรกิจ ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ และพัฒนา ESG Showcases ของบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรด้าน ESG ให้แก่บริษัทจดทะเบียนมาอย่างต่อเนื่อง สําหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้จัดทำโครงการ ‘จิ๋วแจ๋ว’ เพื่อสร้างต้นแบบแก่บริษัทอื่น ๆ ให้เห็นว่าการพัฒนา ESG สามารถนําไปสู่การสร้างมูลค่า ที่ยั่งยืนแก่กิจการได้

จากข้อมูลในปี 2559-2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาคลังความรู้ใน SET ESG Academy แบบ Online (www.setsustainability.com) และเชื่อมโยงไปยังระบบ SETLink เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนได้เรียนรู้ ในระยะที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาหลักสูตรด้าน ESG สําหรับบริษัทจดทะเบียนให้แก่บุคลากรของบริษัทจดทะเบียนได้เข้าอบรม

ในด้านการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แนะนําและส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนที่มีความพร้อมเพิ่มเติมข้อมูลด้าน ESG เข้าไว้ใน Annual Report และ/หรือ จัดทํา Sustainable Development Report (SD Report) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกด้านการพัฒนาความยั่งยืนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน

ในปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมมือกับสํานักงาน ก.ล.ต. และผู้เกี่ยวข้องจัดทําแผนการดําเนินงานปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนให้รวมข้อมูลด้าน ESG เรียกว่า One Report ถือว่าเป็นการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลครั้งสําคัญ ซึ่งนอกจากจะมีการเปิดเผยข้อมูลการกํากับดูแลกิจการแล้ว ยังเพิ่มเติมข้อมูลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และสังคมด้วย ตัวอย่างการเปิดเผยข้อมูลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ ข้อมูลการใช้น้ำ และพลังงาน ข้อมูลการจัดการเรื่องขยะ ของเสีย และมลพิษ ข้อมูลการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น ส่วนการเปิดเผยข้อมูลการดูแลสังคมทั้งใกล้และไกลของบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ ข้อมูลการดูแลพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า รวมทั้ง ชุมชนและสังคม ฯลฯ นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้พัฒนา ESG Data Platform เพื่ออํานวยความสะดวกให้บริษัทจดทะเบียนสามารถจัดข้อมูล ESG ให้เป็น Structured Data และส่งเข้ามายังฐานข้อมูล โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะเพิ่มกลไกเกี่ยวกับ Data Analytics เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งในระดับ Company Level, Sector Level, Industry Level และ Market Level ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน และผู้เกี่ยวข้องต่อไป

ส่งเสริมการลงทุนอย่างรับผิดชอบ

จากผลพวงการพัฒนาบริษัทจดทะเบียนด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ทําให้ในทศวรรษที่ 5 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถจัดกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ที่เรียกว่าเป็นกลุ่มหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) เพิ่มขึ้น นําไปสู่การพัฒนา ESG Products ในตลาดทุนเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนอีกหลากหลายตามมา ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้นยั่งยืนได้สะดวกขึ้น ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้นยั่งยืน ยังได้รับการคัดเลือกมาจัดทําเป็นดัชนีและเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2561 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน ส่วนบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ระดับสากล ก็มีจํานวนบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเข้าอยู่ในดัชนีความยั่งยืนระดับโลกเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มขึ้นมาตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่การพัฒนา ESG เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนเริ่มประสบผล ในอีกด้านหนึ่งกระแสความสนใจการลงทุนในธุรกิจที่ใส่ใจการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเริ่มมีมากขึ้นเป็นลําดับ หรือที่เรียกว่า ‘การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ’ (Responsible Investment) และกลุ่มนักลงทุน ‘Responsible Investors’ ก็จะมีจํานวนและบทบาทมากขึ้นในอนาคต กลุ่มนักลงทุนประเภทนี้จะเลือกลงทุนใน ESG Products เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ร่วมตลาด ได้เร่งพัฒนาความรู้และออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นยั่งยืน โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ด้วยตนเอง หรือลงทุนโดยอ้อมผ่านผลิตภัณฑ์ เช่น กองทุนรวมด้าน ESG เป็นต้น

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร แฟชั่น การขนส่ง การรักษาพยาบาล การพักผ่อนหย่อนใจ และการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพมีความสามารถในการแข่งขันและสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศได้ และเมื่อประเทศมีรายได้มากขึ้นจะส่งผลให้คนไทย มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในปี 2562 จึงได้ริเริ่มการออกดัชนี SET Well-Being (SETWB) เพื่อสร้างความโดดเด่น ให้กับบริษัทจดทะเบียนที่ทําธุรกิจดังกล่าวและเพื่อให้เป็นข้อมูลสำหรับนักลงทุนที่สนใจบริษัทในอุตสาหกรรมเหล่านี้

เตรียมพร้อมรองรับสู่ยุคการพัฒนาความยั่งยืน

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พยายามส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ESG ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของตลาดทุน จนเกิดพัฒนาการที่ดีมาในระดับหนึ่ง แต่กระแสการพัฒนาความยั่งยืนในอนาคตจะมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น ภาวะโลกร้อน ซึ่งมีความรุนแรงกว่าที่คาด จนมีข้อตกลงจากการประชุม Conference of the Parties ครั้งที่ 26: COP26 ที่สกอตแลนด์ ให้ประเทศต่าง ๆ พยายามกําหนดระยะเวลาการประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และประกาศการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจของประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งปรับตัวให้มีแผนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกบนกระบวนการทําธุรกิจอย่างเข้มข้น หากไม่ใส่ใจในเรื่องดังกล่าวอาจถูกกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้

ในด้านสังคมก็เช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เตรียมพร้อมที่จะส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนถึงประเด็นสําคัญด้านสังคม (Social Materiality) ที่เกี่ยวข้องบนกระบวนการธุรกิจออกมาให้เกิดความชัดเจน รวมทั้งนําเสนอแผนดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง เช่น การดูแลความปลอดภัยในการทํางาน การวางแผนค่าตอบแทนและสวัสดิการ การแก้ไขข้อพิพาททางแรงงาน การจัดทําแผนการจัดการสิทธิมนุษยชน การบริหารจัดการชุมชนและสังคม เป็นต้น โดยผ่านเครื่องมือที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีอยู่ เช่น SET Social Impact Platform และ SET ESG Academy เป็นต้น ผลลัพธ์ในการพัฒนาดังกล่าวสามารถทําให้เกิดความลึกด้าน ESG Products เพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป

ยกระดับการกํากับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดทุน

ในช่วงปี 2565-2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไทยกําลังค่อย ๆ ปรับตัวภายหลังภาวะเหตุการณ์ COVID-19 มีเหตุการณ์สําคัญที่เป็นบทเรียนในตลาดทุนไทย เหตุการณ์แรก ได้แก่ กรณีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จํากัด (มหาชน) (MORE) เกิดความผิดปกติในการซื้อขายในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งพบว่า มีการปั่นหุ้น ทําให้เกิดความเสียหายจากหนี้วงเงิน Margin กับ Broker หลายแห่ง นอกจากนี้ ยังพบว่ามี Broker บางแห่ง นําเงินของลูกค้ารายอื่นมาชําระราคาในการซื้อขายหุ้นนี้ จึงเกิดความเสียหายในวงกว้าง จากกรณีดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้เกี่ยวข้องต้องดําเนินการปรับปรุงกฎเกณฑ์และมาตรการ เพื่อป้องกันการปั่นหุ้น รวมทั้งปรับปรุงระบบการทํางานของ Broker ซึ่งยังมีช่องว่างอยู่ 

อีกกรณีคือ หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (STARK) ที่เกิดจากการส่งงบการเงินประจําปี 2565 ล่าช้ากว่าที่กําหนด ซึ่งต่อมาพบว่าเกิดการทุจริตของผู้บริหาร ทั้งจากการยักยอกเงินบริษัทและตกแต่งงบการเงิน ซึ่งเมื่อข้อมูลดังกล่าวถูกพบและเปิดเผย ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะการเงินของ STARK และเริ่มมีการดําเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้อง

ความผิดพลาดและความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อผู้ถือหุ้นสามัญ และผู้ถือหุ้นกู้ STARK รวมทั้ง เกิดคําถามเกี่ยวกับบทบาทและธรรมาภิบาลของคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท และความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาดทุน

ในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ของกรณีดังกล่าว กลไกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังทําหน้าที่อย่างเต็มที่ทั้งในด้านการกํากับการซื้อขายหลักทรัพย์และการกํากับบริษัทจดทะเบียนในด้านการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม บทเรียนที่เกิดขึ้นจากทั้ง 2 กรณี นําไปสู่การยกระดับครั้งใหญ่ ตั้งแต่กระบวนการรับหลักทรัพย์จนถึงการดํารงสถานะในการเป็นบริษัทจดทะเบียนเพื่อให้สามารถดูแลบริษัทจดทะเบียนให้มีความเข้มแข็งขึ้น การเพิ่มเครื่องมือในการเตือนนักลงทุนกรณีที่หุ้นมีสัญญาณของปัญหา รวมทั้งการปรับปรุงระบบงานของสถาบันตัวกลางให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งมีความเคลื่อนไหว ผลักดันและร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การก้าวต่อ ๆ ไปเป็นก้าวที่มั่นคง และตอบโจทย์ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอีกหนึ่งเสาหลัก เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน