“ผู้นําเปรียบเสมือนผู้คุมหางเสือ
สิ่งสําคัญคือการกําหนดทิศทางให้ถูกต้อง
เพื่อให้องค์กรไม่หลงทางท่ามกลางความผันแปรในแต่ละยุคสมัย”
วาทะอันเฉียบคมของ จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 11
สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการพัฒนาตลาดทุนไทยด้วยเทคโนโลยี
เผชิญหน้ากับความท้าทาย
“การจะทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปมีความร่วมมือในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคงนั้น ตัวองค์กรเองต้องเข้มแข็งก่อน” จรัมพรกล่าว และเล่าต่อว่า เป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือทําอย่างไรให้ตลาดทุนไทยแข็งแกร่งในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งได้กลายเป็นภารกิจท้าทายที่วางยุทธศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยต้องเป็นประเทศที่มีภาคตลาดทุน ทั้ง Primary Market, Secondary Market ที่แข็งแรงจึงจะทําให้ Capital Market เติบโตได้อย่างยั่งยืน
จรัมพรเข้ามารับช่วงบทบาทสําคัญในยุคที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กําลังอยู่ระหว่างวางโครงสร้างพื้นฐาน และทําความเข้าใจกับ Ecosystem ของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ซึ่ง ณ ขณะนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัดสินใจก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย ความร่วมมือของตลาดทุนอาเซียน (ASEAN Exchanges) ทั้งที่ในยุคนั้นตลาดทุนไทยยังมีมูลค่าซื้อขายเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นําแล้ว
“Ecosystem ณ ช่วงเวลานั้น ต้องกลับมาดูว่าประเทศจะสมบูรณ์แข็งแรงได้ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง หากแยกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือต้องดึงดูด Supply หรือบริษัทที่ดีให้เข้ามาจดทะเบียน เพื่อเป็นตัวเลือกให้นักลงทุน ส่วนถัดมาคือ Infrastructure ระบบต้องดี และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ Demand หรือนักลงทุน
“ในช่วงแรกตลาดหลักทรัพย์ฯ โดนต่อว่าต่อขานจากหลายฝ่ายว่าเป็นตลาดที่เล็ก สัดส่วนการซื้อขายอยู่ที่ Retail เป็นหลัก ซึ่งไม่ได้มีข้อเสียอะไร เราควรบาลานซ์โดยเพิ่มจํานวนสถาบันในสัดส่วนที่มากขึ้นถึงจะถูก”
“หัวใจสําคัญของการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน
คือการพัฒนาบริษัทจดทะเบียนที่มี Market Cap สูงและมีสภาพคล่องสูง
ให้มีจํานวนเพียงพอ เพื่อให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้”
จรัมพรเล่าต่อว่า สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัดสินใจทําในช่วงนั้น คือออกไปเดินสายโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อดึงนักลงทุนสถาบันต่างประเทศให้เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยร่วมเดินทางกับคุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคนั้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นไทยสมัยนั้นยังค่อนข้างจํากัด SET Index ยังไม่ถึง 800 จุดด้วยซ้ํา
อุปสรรคสําคัญที่บรรดานักลงทุนสถาบันยุคนั้นไม่นิยมลงทุนในหุ้นไทย เพราะกองทุนขนาดใหญ่มักให้ความสําคัญกับบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณสมบัติตามที่วางไว้คือ Market Cap อย่างน้อย 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งในขณะนั้นมีบริษัทไทยที่เข้าเกณฑ์จํานวนจํากัด
ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยสําคัญไม่แพ้กันคือสภาพคล่องของหุ้นมีการกําหนดตัวเลขการเทรดไว้ที่วันละ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 300 ล้านบาท ทําให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยหันมาสนับสนุนกลุ่มบริษัท ซึ่งเทรดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่วางไว้ เพื่อผลักดันให้ไปถึงตัวเลขเป้าหมาย ผ่านการเสนอบริการในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อให้หุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ๆ
“ยกตัวอย่างเช่น หุ้นปันผล Stock Dividend ที่ทําให้มีจํานวนหุ้นที่เทรดมากขึ้น ได้ Free Float เพิ่มขึ้น โดยเสนอทางเลือกให้บริษัทจ่าย Dividend เป็นหุ้นแทนเงินสดเพื่อสร้าง Tradable Stock ที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้ รวมถึงโครงการ Employee Joint Investment Program หรือ EJIP ซึ่งเป็นแนวทางการให้พนักงานเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
“ผมจําได้เลยว่ามีทั้งหมด 10 เมนู ของบริการการเงินที่แนะนําให้บริษัทจดทะเบียนนําไปใช้ แต่ละเมนูเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น กระดาษ A4 สีรุ้ง แผ่นหนึ่งสีเหลือง สีส้ม สีแดง รวม 10 สี เป็นเมนูที่เตรียมไว้ แล้วแต่ว่าเดินไปหาบริษัทไหนจะยื่นโปรแกรมอะไรให้ แต่ทั้ง 10 โปรแกรมจะเป็นเพื่อการเพิ่มสภาพคล่องทั้งนั้น”
ผลพวงจากสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทําในตอนนั้นมีส่วนช่วยเพิ่มจํานวนบริษัทที่สถาบันลงทุนได้จาก 8 บริษัท ขึ้นไปเป็น 25 บริษัท และมากที่สุดในอาเซียนอีกด้วย การมีบริษัทที่อยู่ใน Checklist ของสถาบันต่างประเทศ ทําให้มี Volume การซื้อขายจากสถาบันต่างประเทศสูงขึ้นมาก
ส่วนฝั่งนักลงทุนรายบุคคลที่มีสัดส่วนค่อนข้างมาก และ ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนเก็งกําไรระยะสั้น หรือ Day Trade เมื่อไปดูต้นตอของปัญหาก็พบว่าช่วงนั้นนักลงทุนยังขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุน จึงนํามาสู่โครงการ ‘Banker to Broker’ เปลี่ยนคนที่มีเงินฝากจํานวนมากให้ก้าวเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีโครงการต่าง ๆ ที่ทําให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น ซื้อหุ้นที่มีคุณภาพเพื่อออมในหุ้นด้วยการซื้อแบบ Dollar Cost Averaging หรือ DCA ซึ่งเป็นการออมในหุ้นหรือกองทุนรวมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างวินัยการลงทุนให้ได้ผลตอบแทน ในระยะยาวโครงการ DCA ออมหุ้น ช่วยเพิ่มนักลงทุนรายย่อยที่มีคุณภาพเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่ จาก 27,000 บัญชี ขึ้นมาเป็น 270,000 บัญชี ภายใน 4 ปี ทําให้มีลูกค้านําเงินฝากที่พร้อมมาลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
อย่างไรก็ตาม ในยุคของจรัมพรก็มีเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหลายเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ตั้งแต่เหตุการณ์ไฟไหม้อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปจนถึงมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่น้ําท่วมกรุงเทพฯ จนโบรกเกอร์ต่างเกิดความกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหากตลาดหลักทรัพย์ฯ จําเป็นต้องปิดให้บริการชั่วคราวในช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ําท่วมกรุงเทพฯ
ณ เวลานั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตัดสินใจยืนหยัดที่จะเปิดดําเนินการต่อ โดยริเริ่ม Site สํารอง ข้ามจังหวัดไปปักหลักอยู่ที่พัทยาชั่วคราว ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น การเตรียมความพร้อมในเรื่องระบบข้อมูลหลังบ้านสามารถทําได้ดีแม้จะไม่เคยมีคู่มือ หรือวางแผนรับมือกับสถานการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน ทําให้สามารถดําเนินการซื้อขายได้อย่างต่อเนื่อง มี ‘Resiliency’ สูง ท่ามกลางเหตุอุทกภัย
“ถ้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเป้าหมาย
ที่จะโตขึ้นสิบเท่า ก็จําเป็นต้องลงทุน
ชื้อเครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
เข้ามารองรับ ซึ่งเทคโนโลยีคือปัจจัยสําคัญ
ที่จะผลักดันสู่ความสําเร็จ”
จรัมพรย้ำว่าแผนดําเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan: BCP) ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ได้ทุกสัปดาห์ เรียกได้ว่าเขียนกันใหม่แล้วก็ปรับทันที ถ้าถอยหลังกลับไปดู วันนั้นต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก อย่างน้อยก็มีระบบหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดได้ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านน้ำมาได้ ถึงแม้ประเทศจะเกิดอุทกภัย หรือวิกฤตการณ์ความไม่สงบทางการเมือง แต่อย่างน้อยในธุรกิจนี้ไม่มีผลกระทบ
สร้างระบบเทรดให้ยั่งยืน
ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ (Trading System) ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละยุคสมัย จากวิธีการซื้อขายแบบประมูลราคาอย่างเปิดเผย (Open Auction) ด้วยวิธีเคาะกระดานในห้องค้าหลักทรัพย์ (Trading Floor) เปลี่ยนมาใช้ระบบการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ภายใต้ระบบ ‘ASSET’ (Automated System for the Stock Exchange of Thailand) ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนอีกครั้งเป็นระบบ ‘ARMS’ (Advance Resilience Matching System) จนกระทั่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาระบบซื้อขายใหม่เรียกว่า ‘SET CONNECT’ เพื่อรองรับปริมาณการซื้อขายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในยุคของจรัมพร