นับแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดซื้อขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 หรือเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อยู่คู่กับเศรษฐกิจไทยมาตลอด ผ่านยุคสมัยแห่งความเฟื่องฟู รุ่งเรือง ล้มลุกคลุกคลานแต่ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนจนตราบเท่าทุกวันนี้ ดังนั้น การมองไปข้างหน้าโดยถอดบทเรียนจากอดีตจึงมีความสําคัญในการวางแผนอนาคตของตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 19 ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญของการเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัยอีกครั้งได้ฉายให้เห็นภาพ ‘ตลาดทุนแห่งอนาคต’ ผ่านมุมมองที่สะท้อนอดีตของผู้มีประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในตลาดทุนไทยมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน
“ผมเองได้มีโอกาสเข้าไปเป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปี 2557-2561 เป็นเวลา 2 สมัยติดต่อกันจากการเสนอชื่อของบริษัทหลักทรัพย์ และยังเข้ามาเป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2562 และ 2565 โดยการเสนอของคณะกรรมการ ก.ล.ต. จากประสบการณ์การเป็นกรรมการในคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มาหลายสมัย ทําให้ผมพอมีความเข้าใจถึงปัญหาของตลาดทุนไทย ผมจึงไม่ใช่คนนอกวงการในตลาดทุน ดังนั้น เมื่อได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 19 ผมจึงอยากมองไปข้างหน้าเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขับเคลื่อน ปรับตัว เปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความมั่นคงแก่เศรษฐกิจประเทศไทยในระยะยาว”
กิติพงศ์เห็นว่าการดําเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมามีแนวทางที่ชัดเจนผ่านวิสัยทัศน์ในการ ‘พัฒนาตลาดทุนเพื่อ ทุกคน’ โดยมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการทํางานอย่างต่อเนื่องในหลายด้านเพื่อเป็นศูนย์กลางการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีการสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนอย่างหลากหลาย นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีส่วนสําคัญอย่างยิ่งในการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว มีการบ่มเพาะบุคลากรในตลาดทุนให้มีความรู้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในโลกการลงทุน รวมทั้งปลูกฝังแนวคิดการดําเนินธุรกิจ มุ่งมั่นพัฒนาองค์ความรู้ที่มีคุณค่าภายในองค์กร
“ผมจึงหวังว่า ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะต้องดำเนินการตามวิสัยทัศน์และพันธกิจต่อไป โดยเฉพาะการ ‘พัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกคน’ อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นและมีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ ตอบโจทย์ปัญหาประเทศโดยให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นศูนย์กลางตลาดทุนในภูมิภาคที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันเหตุการณ์ได้อย่างสม่ำเสมอ”
ถอดบทเรียนอดีต ยกระดับตลาดทุนไทย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาจนกระทั่งเข้าสู่ 5 ทศวรรษ หากมองปัจจุบันและแลไปข้างหน้าต้องถือว่าเป็นองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย ดังนั้น อนาคตข้างหน้าของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมีความท้าทายอย่างยิ่ง การถอดบทเรียน ความผิดพลาดในอดีตเพื่อมองไกลไปในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ควรทํา
“เมื่อมองย้อนไปในช่วงปี 2563–2566 ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงการเงินโลก และด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างก้าวกระโดด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จึงเป็นความท้าทายที่เข้ามากระทบตลาดทุน ทําให้มีความซับซ้อนและมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น เช่น การแพร่ของโรคระบาด COVID-19 และสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย อิสราเอลกับฮามาส ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากแลไปข้างหน้าหรืออนาคตของตลาดทุนไทย เราก็จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นที่กล่าวกันว่าเป็นโลกแห่ง VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) ดังนั้น ส่วนตัวผมเองมีความเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องปรับเปลี่ยนการทํางานในอนาคตในหลายเรื่องอย่างรวดเร็วและทันการณ์”
ตัวอย่างสําคัญที่กิติพงศ์ยกมาฉายภาพให้เห็นตัวอย่างหนึ่งคือการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นกลไกที่สําคัญอย่างยิ่งในการสร้างโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนไทยใช้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายตัวกลายเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ รวมทั้งการเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาระดมทุน มีการจัดให้มีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ และส่งเสริมนักลงทุนให้มีทางเลือกในการลงทุนและได้รับผลตอบแทนที่ดี การสร้างกลไกความโปร่งใสในการกํากับดูแลกิจการที่ดี สร้างความยั่งยืนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล (ESG) แม้จะมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นอยู่บ้างก็ต้องแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ และเหล่านี้คือการปรับเพื่อเปลี่ยนไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นในมุมมองของกิติพงศ์
สร้างความเชื่อมั่นให้เกิด ‘ตลาดทุนแห่งอนาคต’ ของทุกคน
นอกจากนั้น เรื่องสําคัญที่เป็นแกนกลางของความเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็คือความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ซึ่งกิติพงศ์เน้นย้ำว่านักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องจะเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อตลาดทุนได้มากขึ้น หากการบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่สามารถทําเองได้โดยลําพังแต่ต้องมีการทํางานแบบบูรณาการโดยอาศัยความร่วมมือในการทํางาน (Collaboration) ของหน่วยงานภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการบังคับใช้กฎหมายให้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ และหากมีความจําเป็นก็ต้องสามารถออกหรือแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบให้ทันต่อเหตุการณ์ เพื่อสามารถดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทําผิดต่อตลาดทุนไทยได้เร็วขึ้น และเพิ่มบทลงโทษผู้กระทําผิดต่อตลาดทุน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการกํากับดูแลประชาชน และคุ้มครองนักลงทุนให้มีความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะปัญหาการฉ้อฉลในตลาดทุนที่เคยเกิดขึ้นพบว่ามีการกระทําที่ซับซ้อนมากกว่าในอดีต ดังนั้นการบูรณาการการทํางานร่วมกันในตลาดทุนเท่านั้นจึงจะทําให้ประสบความสําเร็จได้
“ในช่วงก่อนที่ผมเข้ารับตําแหน่งประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 19 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างมาก ซ้ำยังเกิดการฉ้อฉลในวงการตลาดทุนในหลายรูปแบบ ทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดา และกลุ่มบุคคลที่มีการแบ่งหน้าที่กันทําเพิ่มมากจนไม่สามารถป้องปราม และบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ต้องมีความรวดเร็ว ชัดเจน และมีบทลงโทษที่เด็ดขาด การคุ้มครองนักลงทุนให้มีความเท่าเทียมกัน พร้อมกับการสร้างความโปร่งใสในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียน”
กิติพงศ์มองว่าสิ่งสําคัญคือต้องสร้างองค์ความรู้ทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. ตำรวจเศรษฐกิจ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานอัยการสูงสุด และศาลยุติธรรม เพื่อให้คดีมีความรวดเร็วขึ้น
“การทําผิดกฎหมายในตลาดหุ้น การฉ้อโกง การปั่นหุ้น สิ่งที่ต้องทําและจําเป็นต้องทําเลย คือ ยึดทรัพย์ไว้ก่อน แล้วเร่งฟ้องร้องเพื่อเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็ว ในจุดนี้เห็นว่าควรต้องมีการแก้กฎหมายกันใหม่ ไม่ว่าจะให้ ก.ล.ต. ส่งฟ้องคดีได้เอง โดยอาจมีการยืมตัวอัยการมาชั่วคราวเพื่อร่วมทําคดี รวมไปถึงเรื่องของการมีกฏหมายเพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“นอกจากนี้ ควรเร่งผลักดันมาตรการยกระดับกำกับดูแลเพิ่ม ความเชื่อมั่นนักลงทุน เช่น การควบคุมดูแลเรื่อง Program Trading โดยเฉพาะการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความเร็วสูง High-Frequency Trading (HFT) การยกระดับการกำกับดูแล Short Selling และ Naked Short Selling รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มแหล่งข้อมูลกลางตลาดทุนไทย เช่น Central Platform รวมทั้ง ปรับปรุงหลักเกณฑ์การระดมทุนใหม่ ๆ ช่วยกันพัฒนาสร้างความได้เปรียบให้กับตลาดทุนไทยสามารถแข่งขันเพื่อยกระดับสู่การเป็นตลาดหลักทรัพย์ของภูมิภาคได้”